ทุกวันนี้ประกันรถยนต์นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้รถยนต์มากที่สุด มันมีตั้งแต่ประกันชั้น 1 ที่คุ้มครองครอบคลุมอุบัติเหตุและความเสียหายที่เกิดขึ้นแทบจะทั้งหมด ไปจนถึงประกันชั้น 3 ที่ราคาถูกกว่ามาก แต่ก็จะคุ้มครองเฉพาะคู่กรณีและมีเงื่อนไขเฉพาะเป็นกรณีไป นอกจากนั้นยังมีประกันยิบย่อยที่มีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไปอีกมากมายเช่นกัน
สำหรับวันนี้เราจะมาดูในส่วนของประกันชั้น 1 ซึ่งผู้คนที่ซื้อประกันตัวนี้มักจะเป็นเจ้าของรถใหม่หรือรถที่มีอายุไม่เกิน 6 ปี ประกันชั้น 1 นั้นจะมีความคุ้มครองที่ครอบคลุมไปถึงกรณีที่เราเกิดอุบัติเหตุโดยไม่มีคู่กรณี ดังนั้นมันจึงมี “ค่าเสียหายส่วนแรก” โผล่ออกมา ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เจ้าของรถจะต้องจ่ายเองเพิ่มเติม
ค่าเสียหายส่วนแรกนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ Excess และ Deductible โดยทั้ง 2 แบบนั้นมีความแตกต่างกัน ดังนี้
- Excess
Excess เป็นค่าเสียหายส่วนแรกแบบ “ภาคบังคับ” ซึ่งจะถูกระบุอยู่ในเงื่อนไขการทำประกัน โดยมันถูกกำหนดว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เจ้าของรถจะต้องรับผิดชอบร่วมกับบริษัทประกันภัยเป็นค่าเสียหายส่วนแรก เป็นจำนวนตามที่ถูกกำหนดไว้ในเงื่อนไข โดยแยกได้อีกเป็น 2 กรณี คือ อุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการชนหรือรถพลิกคว่ำ และ อุบัติเหตุที่ไม่สามารถระบุคู่กรณีได้ เช่น การถูกกลั่นแกล้งโดยการขูดขีดตัวรถ, การเฉี่ยวชนกับต้นไม้ เสา หรือกำแพง, หรือ การถูกเศษหินกระเด็นใส่รถในระหว่างการขับขี่
แล้วทำไมเราจึงยังต้องจ่ายค่า Excess ถึงแม้ว่าเราจะจ่ายค่าเบี้ยประกันไปแล้ว ? นั่นก็เพราะ ค่า Excess นั้นถูกกำหนดมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เอาประกันแจ้งเคลมทั้ง ๆ ที่รถไม่ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นจริง เช่น ตั้งใจขูดรถตัวเองเพื่อเคลมประกันทำสีรถใหม่
นอกจากนั้นยังมีกรณีที่ประกันจะไม่คุ้มครองผู้ขับขี่หากอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นจาก การเมาแล้วขับ, การขับรถแข่งขันกันบนถนนสาธารณะ, หรือ การทำผิดกฎหมายในทุกกรณี
สำหรับในกรณีที่ผู้เอาประกันจะไม่ต้องเสียค่า Excess มีอยู่ด้วยกัน ได้แก่ การชนเข้ากับยานพาหนะอื่นและสามารถแจ้งรายละเอียดของคู่กรณีได้, การชนเข้ากับต้นไม้ เสา หรือกำแพง ที่มีภาพหลักฐานเหตุการณ์อย่างชัดเจน, การชนเข้ากับคนหรือสัตว์ที่มีเจ้าของ, และ รถพลิกคว่ำ
- Deductible
Deductible เป็นค่าเสียหายส่วนแรกแบบ “ภาคสมัครใจ” โดยในขั้นตอนการทำประกันจะมีเงื่อนไขให้คุณเลือกที่จะจ่ายค่า Deductible ซึ่งถ้าคุณเลือกที่จะจ่าย มันก็จะช่วยลดเบี้ยประกันตามจำนวนค่า Deductible ที่ถูกระบุไว้ เช่น เบี้ยประกันรายปี 10,000 บาท แต่หากคุณระบุว่า ยินดีจ่ายค่า Deductible ทุกครั้งที่เกิดเหตุแล้วคุณเป็นฝ่ายผิด 2,000 บาท ค่า Deductible จะไปหักลบกับเบี้ยประกัน ทำให้คุณจ่ายเงินค่าประกันเหลือเพียง 8,000 บาท เท่านั้น
แล้วเราควรเลือกที่จะจ่ายหรือไม่จ่ายค่า Deductible ?
สำหรับคำแนะนำว่า การจ่ายหรือไม่จ่ายแบบไหนดีกว่ากัน ? เราขอแนะนำให้คุณสำรวจสกิลการขับรถของตัวเองและสภาพแวดล้อมในการใช้รถของคุณ หากคุณมั่นใจว่าตัวเองมีการขับขี่รถที่ปลอดภัย ไม่ไปเฉี่ยวชนกับผู้อื่นง่าย ๆ หรือคุณเน้นการใช้รถในต่างจังหวัดที่มีปริมาณรถน้อย ไม่ค่อยได้เจอกับการจราจรที่ติดขัดซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดการเฉี่ยวชน คุณควรเลือกที่จะจ่ายค่า Deductible ซึ่งมันจะช่วยให้คุณประหยัดค่าเบี้ยประกันไปได้มากทีเดียว
แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่พึ่งหัดขับรถ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการเฉี่ยวชนได้มาก คุณอาจจะเลือกไม่จ่ายค่า Deductible เพราะไม่เช่นนั้นค่าเบี้ยประกันที่ลดลงมาอาจจะไม่คุ้มกับค่าเสียหายส่วนแรกที่คุณต้องจ่ายในทุก ๆ ครั้งที่เกิดอุบัติเหตุก็เป็นได้
อ้างอิง : tidlor.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
